เริ่มต้นบทความแรกกับการเดินป่า ด้วยการมาพิชิตภูกระดึงกันครับ ได้ฤกษ์งามยามดีว่างตรงกันหมด กับการเตรียมตัวเที่ยวภูกระดึงปี 2557 นี้ ปีนี้มีสมาชิกเพิ่มจากเดิมรวมทั้งทริปแล้ว 10 คน คงจะครึกครื้นน่าดู(ปีที่แล้ว 2556 มีแค่ 4 คน) โดยมีการเตรียมตัวเที่ยวภูกระดึง 2557 ดังนี้ครับ
การเตรียมตัวลุย ภูกระดึง ปี 2557
- กำหนดระยะเวลาเที่ยวคือ วันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2557 หรือ 3 วัน 2 คืน เริ่มออกเดินทางจาก ชลบุรี
- เนื่องจากช่วงนี้กลางเดือนพฤศจิกายน ที่ภูกระดึงน่าจะหมดฝนไปสักระยะแล้ว ปัญหาเรื่องทากคงจะมีน้อยจึงคิดว่า คงไม่ต้องเตรียมถุงกันทากไปครับ แต่ก็ต้องระวังเอาไว้ก็ดี
- การจัดของไปในครั้งนี้ คงจะเน้นเรื่องรองเท้าและเสื้อผ้าที่ใส่สบาย กางเกงขาสั้นแบบลุยๆ และกางเกงใส่นอนสบายๆ โดยจะไปหนักเอาส่วนของกล้อง เลนส์ และขาตั้งกล้องซะมากกว่า
- เตรียมเงินไปประมาณ 3-4,000 บาท เผื่อไปเที่ยวเชียงคานต่อ
- ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาดม ยาหม่อง ยาแก้ปวด หรือยาสามัญประจำตัว
- หมวกสำหรับบังแดด เสื้อกันหนาว(มันจะหนาวมั๊ยเนี่ย)
- Power Bank 13000 mAh สำหรับชาร์จแบตไอโฟน
มาเริ่มเดินกันเลย ขอต้อนรับสู่ เส้นทางพิชิตภูกระดึง
เริ่มเดินขึ้นภูกระดึง ต้องบอกว่า ทางขึ้นนั้นไม่ใช่ง่ายๆ แล้วไปชันเอาทีหลังนะ แต่มันชันและโหดตั้งแต่ซำแรกเลย ซำแฮก
ออกเดินทางเวลา 8 โมงเช้าครับ ไปเรื่อยๆ ชิลๆ คิดไว้ว่าจะไปกินข้าวที่ซำแฮก
อันนี้ต้องบอกว่าโหดจริงครับ สำหรับการเริ่มต้น เหนื่อยและท้อ แต่ก็ยังเหลือเส้นทางอีกเยอะให้เดินต่อไป อิอิ
ทางชันมาก เดินมากิโลหน่อยๆ ใกล้ถึงซำแฮกแล้วครับ จะได้พักกินข้าวสายๆ ก็ซำแฮกนี้แหละ
มาพักที่ร้านนี้ครับ ซ้ายมือร้านแรก ทำข้าวหมูกระเทียมอร่อยได้ใจ
น่ากินมาก หรือเพราะหิวก็ไม่รู้
นี่ครับ พ่อค้า
และเมนูเพียบเลย ข้าวของเริ่มแพงขึ้นจากราคาปกติที่ด้านล่าง
คราวหน้าว่าจะลองกินเมนูนี้ดู ออกเดินทางต่อครับ เสียเวลาไปเกือบชั่วโมง ได้พักเต็มอิ่มไปเลย
เดินตามทางไปเรื่อยๆ คราวนี้สบายกว่าซำแฮก แต่ก็มีชันบ้าง เรียบบ้าง สลับกันไป
ขั้นบันไดเยอะหน่อย ช่วยลดภาระของหัวเข่าได้บ้าง
ช่วงนั้น ต้นไม้ข้างทาง เขียวขจี สดใส สดชื่นมากๆ ครับ ปลายฝน ต้นหนาว
ในทุกๆ ซำของที่ภูกระดึง จะมีของขายตลอด ไม่ต้องกลัวว่าจะหิว หรือขวนขวายหาน้ำ ที่นี่เตรียมแค่เงินมาก็พอครับ (สำหรับของกินนะ)
เดินทางต่อ ไปเจอต้นไม้ล้มเลยถ่ายรูปซะหน่อย (ปรมจารย์ของผมเองครับ)
เดินไปเรื่อยๆ ขอข้ามเหตุการณ์ต่างๆ และขึ้นไปถึงยอดที่หลังแปเลยนะครับ..อิอิ
แชะภาพร่วมกัน สำหรับชาวคณะทริปนี้ ถึงหลังแปประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ ครับ
จากหลังแป ต้องเดินมาอีกประมาณ 3.5 กิโล ไปยังวังกวางซึ่งเป็นจุดกางเต๊นท์ครับ โดยสองข้างทาง จะเป็นป่าสนแบบนี้แหละครับ สวยงาม และสดชื่น และก็ร้อนด้วยเช่นกัน
แต่โชคดีที่มีเมฆเยอะ แดดเลยไม่ค่อยมี ทำให้การเดินเป็นไปด้วยความสนุกสนาน
ถ้าเจอต้นนี้กลางทาง แสดงว่ามาถึงครึ่งค่อนทางแล้วครับ เดินต่อไปอีกหน่อย
เจ้าหน้าที่บอก ฝนเพิ่งหยุดตกเมื่อคืน
โค้งสุดท้ายก่อนถึงวังกวางครับ
ถึงซะที วังกวาง สถานที่พักของเรา ถึงเวลาประมาณ บ่ายสองโมงกว่าๆ ติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต๊นท์นอน ที่พัก ผ้าห่ม หมอน ให้พร้อม เข้าที่พัก ล้างหน้าล้างตา หาไรกินตามอัธยาศัยครับ
ตกเย็นสัก 5 โมง ผมเดินไปยังผาหมากดูก ระยะทางประมาณ 2.8 กิโล เพื่อไปถ่ายพระอาทิตย์ตก แต่ไม่ทัน โชคดี ยังล่าช้างเผือกมาได้ 1 โขลง ตัวใหญ่ๆ ครับ (มือใหม่หัดถ่ายช้าง) แล้วเดินกลับมากินข้าวและนอนหลับปุ๋ยที่เต๊นท์ประมาณ 4 ทุ่มครับ
วันรุ่งขึ้น ออกเดินทางเวลา 10 โมงเช้า ซึ่งสายมากเพราะกว่าจะออกจริงๆ ก็เกือบ 11 โมง ไปเที่ยวน้ำตกถ้ำใหญ่ครับ คนเยอะเหมือนกัน เซลฟี่ตัวเองมา 1 ช็อต
จากนั้นก็เดินย้อนกลับมาหน่อย เพราะจะไม่ไปทางสระอโนดาด แต่ย้อนกลับมาเข้าทางสระแก้ว ซึ่งจะรัดไปที่ผานาน้อยครับ ลักษณะเป็นทุ่งกว้างขวางมาก พักที่ผานาน้อยสักพัก กินข้าว กินน้ำ ก็รีบเดินต่อ เพราะจะเย็นแล้ว
ระหว่างทาง ก็เก็บภาพบรรยากาศมาตลอด
ใกล้ถึงแล้ว ผาหล่มสัก เป้าหมายของทุกการเดินทางครับ
เมื่อมาถึง ต้องพบกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เต็มหน้าผาไปหมด (อดถ่าย ณ จุดยอดนิยมเลย T T) แต่ก็ทันได้มานั่งดูพระอาทิตย์ตกครับ
คู่รักประจำทริป ผ่านพ้นไปได้ คงไม่มีอะไรขวางกั้นความรักได้อีกแล้ว (หลายคนกล่าวไว้ว่า พาแฟนมาภูกระดึง เลิกกันทุกราย 555+)
ถ่ายรูปรวมกันอีกสักรอบ แต่ไม่ได้จุดที่เป็นไฮไลต์
ต้องรอคนกลับเกือบหมด ถึงได้ถ่ายที่จุดนี้ครับ ช่วงนั้นเวลา หกโมงเย็นกว่าๆ แล้ว คนเริ่มทยอยกลับกันหมด (กินข้าวกันที่ผาหล่มสัก) พวกในกลุ่มอยากกลับกันแล้ว แต่ผมก็ขออยู่ต่อ เพื่อจะถ่ายช้างเผือก ณ จุดที่เป็นไฮไลต์ของภูกระดึง ซึ่งทุกคนก็รอ (ซึ้งใจมาก ถ้ากลับคนเดียว คงไม่กล้าเหมือนกัน 55+) แล้วก็ได้ภาพที่ต้องการมาครับ
ภาพอาจจะไม่เพอเฟ็ค หรือสวยงามมากมายอะไร แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ถ่าย และได้ฝึกในสถานการณ์จริง แค่นี้ก็ประทับใจมากแล้ว (ถ่ายจนลืมไปว่ามันหนาวมากๆ ครับ ณ เวลานั้น)
และกลุ่มเราก็เดินทางกลับไปที่เต๊นท์ด้วยเวลา 19:30 ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายของที่นี่เลย ทางเจ้าหน้าที่อุทยาน โทรมาบอกให้รีบกลับ เพราะจากนี้ไป มันเป็นเวลาที่ช้างป่าออกหากิน อันตรายเอามากๆ ระหว่างเดินกลับ ตามร้านค้าต่างๆ ก็ขึงลวด และเตรียมปล่อยกระแสไฟฟ้า กันไม่ให้ช้างเข้ามาทำลายข้าวของ แต่ยังดีที่เค้ารอกลุ่มเรา ไม่งั้น อาจเดินไปถูกลวด ไฟช็อตเอาได้ 55+
เราเดินกันอย่างเร่งรีบมาก เงียบและมืดมาก มีกันอยู่ 10 คนสุดท้ายจริงๆ ต้องบอกเลยว่า มันน่ากลัวตรงที่ลุ้นว่า ช้างมันจะออกมาหรือป่าวนี่แหละ ผมเดินถึงที่พักเวลา 21:30 ครับ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเศษๆ นั่งคุยกันถึงเที่ยงคืน แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น รีบตื่น รีบเคลียร์ของที่จะให้ลูกหาบ หาบลงไป (ควรจะแจ้งเจ้าหน้าที่ ตั้งแต่วันขึ้นมาว่าเราจะลงวันไหน เค้าจะได้เตรียมลูกหาบให้เราถูกครับ)
ติดต่อ คืนของที่นี่แดดร้อนมาก แล้วก็หนาวมากเช่นกัน
เรียงกันเป็นตับเลย เสร็จแล้วก็ไปหาไรกินก่อนลงครับ
ปาท่องโก๋จิ้มนม + กาแฟสักแก้ว อากาศเย็นๆ เท่านี้ก็ฟินแล้วครับ
ร้านดวงเดือน (เจ๊เดือน) เจ๊แกช่วยหลายๆ เรื่องเลยครับ ตั้งแต่มารอบแรก รอบนี้ก็เลือกใช้บริการเจ๊เดือน ใครขึ้นไป ก็อุดหนุนแกได้นะครับ เรื่องขอความช่วยเหลือ เจ๊แกช่วยเต็มที่ครับ อิอิ
หลังจากกินเสร็จ ก็เดินดูของฝาก
โปสการ์ดและเสื้อที่ระลึก สวยๆ ทั้งนั้น
ระหว่างเดินทางกลับ ขามาไม่ได้ถ่ายเดี่ยวๆ เลย ขากลับก็เอาซะหน่อย แอ็คได้เต็มที่ เพราะไม่มีคนเลย
บอกให้โลกรู้ว่า กรูมาแล้วโว้ยยยยยยยยยยย… แล้วก็เดินลง ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเศษๆ ครับ แต่ค่อนข้างเจ็บหัวเข่า และเจ็บปลายเล็บอย่างมาก
ทริปนี้ต้องบอกเลยว่า ประทับใจที่ได้มาภูกระดึงทุกครั้ง และยังมีโอกาสได้เห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่า ได้มาเที่ยวกับสมาชิกกลุ่มใหม่ๆ ได้มีโอกาสเหนื่อย ได้ถ่ายรูป ได้รับลมหนาว (แต่ยังไม่โดนทากกัด) ปีหน้า ถ้ามีโอกาส อาจจะได้มาอีกครั้งสำหรับภูกระดึง อาจจะเป็นครั้งสั่งลาก่อนสร้างกระเช้าลอยฟ้าครับ
ขอบคุณที่ติดตาม แล้วเจอกันบทความหน้าครับ
ปล. ลายเซ็นต์ในภาพ Trekking.in.th เป็นเว็บไซต์ของผมเองครับ แต่ไม่ได้ทำต่อ เลยนำมารวมกันที่เว็บนี้ซะเลย และยืมรูปจากปีก่อนมาอธิบายเล็กน้อย อิอิ
Comments